Wednesday, September 14, 2011

10 อาชีพเกิดใหม่ในช่วง 10 ปีให้หลัง

ฝากถึงน้องๆ นักเรียนนักศึกษา เผื่อว่าใครยังไม่รู้จักตัวเองดีพอลองอ่านอาชีพเหล่านี้แล้วดูว่าตรงกับที่เราชอบทำหรืออยากทำ ก็ลองๆเริ่มคิดและลงมือทำดูนะครับ นี่ถือเป็นอาชีพที่ถูกกฏหมายอีกต่างหาก ไปอ่านกันเลยครับ เว็บไซต์เดลี่ท็อปเทน ได้จัดอันดับ 10 อาชีพเกิดใหม่ ที่เพิ่งจะมีให้เห็นกันในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ โดยจัดอันดับตามรายได้ที่ได้รับ ดังนี้

 1. ดาราเรียลลิตี้ (Reality Star) มีหน้าที่ทำทุกอย่างตามที่โปรดิวเซอร์บอก เป็นอาชีพการแสดงอย่างหนึ่ง ที่ต้องแสดงให้คนเข้าใจว่าพวกเขาไม่ได้แสดง และน่าแปลกที่ไม่ว่าจะเป็นเรียลลิตี้ของประเทศไหน ก็ได้รับความนิยมอย่างมาก และแน่นอนมันจึงทำให้ค่าตัวของนักแสดงหน้าตายสูงลิ่วเช่นกัน 

2. ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Media Strategist) มีหน้าที่วางแผนเกี่ยวกับการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ในการโฆษณาผลิตภัณฑ์ของพวกเขาให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากที่สุด

 3. ช่างถ่ายภาพเคลื่อนไหวภาคสนาม (Video Journalist) มีหน้าที่ในการบันทึกภาพเคลื่อนไหวทั่วสารทิศพร้อมกับอธิบายเหตุการณ์ไป พร้อม ๆ กัน วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายและเป็นการเสนอข่าวที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในยุคอินเทอร์เน็ตยุคนี้

 4. นักพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนมือถือ (Mobile Phone App Developer) มีหน้าที่สร้างสรรค์เกมและเครื่องมือแอพพลิเคชั่นสำหรับมือถือ ซึ่งก็ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้มือถือที่รองรับการใช้งานแบบครอบจักรวาล ได้ตรงจุดเลยทีเดียว

 5. บรรณาธิการเว็บไซต์ (Content Manager) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานทุกอย่างในกองบรรณาธิการเว็บไซต์ โดยจัดหาข้อมูลที่น่าสนใจ และควบคุมเนื้อหาที่จะเผยแพร่ในเว็บไซต์ 

6. ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานรักษ์โลก (Green Energy Expert) ทำหน้าที่ให้ข้อมูลประชาชนเกี่ยวกับการเปลี่ยนบ้าน หรือสำนักงาน ที่อยู่อาศัยทุกประเภทให้เป็นสิ่งก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และลดการใช้พลังงานที่ทำลายโลก

 7. นักพัฒนาโปรแกรมแฟลช (Flash Developer) ทำหน้าที่คิดค้นสร้างสรรค์โปรแกรม หรืออนิเมชั่นสวย ๆ โดยใช้โปรแกรมแฟลชเป็นเครื่องมือในการพัฒนาโปรแกรมและอนิเมชั่น

 8. นักช้อปปิ้งส่วนตัว (Personal Shopper) อาชีพนี้อาจไม่ค่อยได้เห็นในบ้านเรา แต่สำหรับต่างประเทศ ตอนนี้มันเริ่มจะมีให้เห็นค่อนข้างแพร่หลาย โดยนักช้อปปิ้งเหล่านี้จะมีหน้าที่ซื้อเสื้อผ้า เครื่องประดับให้กับผู้ที่ไม่มีเวลาไปช้อปปิ้งเอง และแน่นอน พวกเธอก็จะต้องเป็นสไตลิสต์ที่รู้จักมิกซ์แอนด์แมทช์เสื้อผ้าให้กับผู้ใส่ ด้วย

 9. ช่างเทคนิคเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Thermal Technicians) มีหน้าที่ออกแบบ พัฒนา ติดตั้ง และบำรุงรักษาระบบพลังงานแสงอาทิตย์ทุกประเภท ซึ่งถือเป็นอาชีพที่เป็นที่ต้องการมากในปัจจุบัน เพราะผู้คนเริ่มตระหนักถึงการใช้พลังงานทดแทนที่ไม่ทำลายโลกกันอย่างกว้าง ขวาง

 10. บล็อกเกอร์ (Blogger) มีหน้าที่นำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจในบล็อกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก ผู้เขียนบล็อกก็อาจสร้างรายได้จากการลงโฆษณาในหน้าเว็บบล็อกของตัวเอง และในขณะนี้ ก็มีบล็อกเกอร์ที่หารายได้ในลักษณะนี้มากมายทั่วโลก

Wednesday, July 20, 2011

Suck Seed เมล็ดพันธุ์ห่วยที่ช่วยให้ทุกคนมีกำลังใจ

เหตุเกิด เพราะเด็กอยากฟังเพลงที่ผมไม่รู้จัก  ชื่อเพลง " เพลงที่ฉันไม่ได้แต่ง" อ่ะไอ้คนสมัยใหม่อย่างผมงงเลยมันมีเพลงชื่อนี้ด้วยเหรอ

มี๊ มี ดิ  ด้วยคำยืนยันที่แสนมั่นใจ  ผมจึงเข้าไปดูใน ยูทู๊ป ดูว่ามันจะมีจริงเหรอ เพลงที่มีชื่อว่าเพลงที่ไม่ได้แต่ง พอกดค้นหาเจอปั๊บเลยครับ  แต่มันขึ้นมาว่าเป็นเพลงประกอบภาพยนต์เรื่อง ห่วยขั้นเทพ  ดูจากภาพวีดีโอประกอบเพลงแล้วเนื้อหามันเกี่ยวกับวัยเรียน นะหนังเรื่องนี้ ดูท่าคงเหมือนๆหนังไทยทุกเรื่องที่เป็นมา งั้นลองดู เทลเล่อ มันหน่อยดิ

หลังจากหาเทลเล่อมาดูพักใหญ่ๆ  เด็กๆก็ถามว่ามันน่าดูไหมพี่กิต  เออน่าดูแฮะตรงที่มันจับเอากลุ่มเด็กที่ทำตัวเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นแต่ยิ่งทำมันก็ยิ่งดูว่าเห่ย ด้อยกว่าคนอื่นๆอยู่ร่ำไป  ทำไงดีอยากดูๆๆ  เจ้าเอิรทร้องขึ้น  พี่มายด์ซื้อแผ่นจากเซเว่นมาเอามาดูไหม  ดีๆๆจัดมาเลยๆๆ

5นาทีต่อมา  ได้แผ่นมาล่ะใครจะเล่นเกมส์แล้วจะเติมเวลาเน็ตให้มาติดต่อพี่กิต ตอนนี้เลยให้เวลา 5 นาที เด็กๆวิ่งกรูกันเข้ามาหมดเลยหลังจากเติมเวลาเน็ตเด็กๆแล้วถึงเวลา ดูหนังแล้วเปิดเสียงเบาๆกลัวเด็กรำคาญ ผ่านไป 5 นาทีหัวเราะไม่หยุดเลย  เพราะยิ่งดูก็เหมือนดูตัวเองสมัยเด็กๆเลย  แรกๆเราเหมือนพระเอกนะ  แต่ไม่เหมือนตรงเรื่องหญิง เราไม่มีแหะ  จะเหมือนเพราะชอบตามเพื่อนไปเรื่อยไม่เคยเป็นต้นคิดเลย  มีแต่คนอื่นคิดแล้วมาชวนเราทำซึ่งก้ทำๆแต่ไม่ได้ดีกะเขาสักที  แต่ก็มีหน้าไปแข่งกะเขาด้วยนะ เพราะกลุ่มเราชอบพูดคำว่า เฮ้ยเผื่อมันโดนใจกรรมการอ่ะ  แต่ก็แห้วทุกที

หลังๆขอเรื่องเห้ยเราเหมือนมือกลองว่ะบ้ากีฬา  กะดนตรี  แต่ไปไม่ได้ดีสักเท่าไหร่เลย  แต่ละครเรื่องนี้มันให้ข้อคิดเยอะดีแถมยังน่าจะดีกับวัยรุ่นวัยเรียน  ยกตัวอย่างเช่นเรื่องความกล้าที่จะคิด  กล้าที่จะไล่ตามฝัน  และการกล้าสู้กับอุปสรรค มากมายระหว่างทาง  ผมชอบคุ้ง  ที่เป็นเจ้าแห่งโปรเจค  เพราะเขาน่าจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้มากที่สุด  ถึงแม้ในเรื่องจะชอบล้มเลิกกลางคันตลอด  แต่อย่างน้อยคุ้งก็กล้าที่จะคิดและกล้าที่จะทำในสิ่งที่คิด  เพราะผลของมันคือ  อย่างน้อยก็ได้ทำ  

แต่ตัวเอกอย่างเป็ดก็ถือเป็นคนที่แน่วแน่  และทุ่มเทต่อสิ่งที่ทำไม่ย่อท้อง่ายๆ  ถือเป็นคนผลักดันให้หลายๆอย่างดำเนินไปสู่จุดหมายได้สำเร็จ  และเอกที่เป็นมือกลองก็ถือเ็ป็นตัวสนับสนุน  และคอยยึดกลุ่มไว้ให้ฝ่าฝันอุปสรรคต่างๆไปด้วยดี

ถือว่าเป็นทีมที่ดีในการทำงาน  ถึงแม้ว่าภายในการทำงานนั้นจะต้องประสบปัญหาอยู่บ้างทั้งเล็กและใหญ่ หนังเรื่องนี้ก็ยังสอดแทรกข้อคิดที่ว่า  "แม้พระจันทร์จะอยู่บนฟ้าแสนไกล  แต่เพียงแค่เรายื่นมือจะคว้ามันแล้ว เราก็ยังเข้าใกล้พระจันทร์มากกว่ายืนเงยหน้ามองมันเฉยๆ"  (พี่ตูนเก็บปิคนี้ไว้แล้วผมจะกลับมาเอาคืนตอนที่ ได้เข้ารอบสุดท้าย จำพวกผมไว้นะครับ)

"งานทุกอย่างย่อมมีอุปสรรค  แต่ถ้าเราทำมันยังมีความหวังที่จะผ่านอุปสรรคพวกนั้นไปได้" (ห้องซ้อมคิวเต็มหมดแล้วน้องไปหาที่อื่นเถอะ ..... เอก: ไม่เป้นไรเพื่อนงั้นเราไปซ้อมที่เบเกอร์รี่กันเถอะ  )

"ถ้าเราได้ลงมือทำในสิ่งที่คิดว่าอยากทำแล้ว  เมื่อได้ลงมือทำแล้วมันไม่ใช่ที่เราอยากทำจริงๆ  ก็จงหยุดทำมันและค้นหาตัวเองใหม่อีกครั้ง" (มันหมดยุคไปแล้วว่ะ)

"จงลงมือทำในสิ่งที่ตั้งใจ  แล้วทำให้ดีที่สุดก่อนแล้วค่อย  สรุปผลว่าทำได้หรือไม่ได้" (เอ็งก็เป็นอย่างนี้ทุกที อยากจะเล่นก็เล่น  อยากจะชวนใครเข้าวงก็ชวน  อยากจะเลิกก็เลิก  ทำตามใจตัวเองเสมอ  แล้วแกเคยถามคนอื่นเขาก่อนมั่งไหม)

สรุปครับดูหนังเรื่องนี้แล้วสนุกได้ข้อคิด  คิดถึงชีวิตวัยรุ่นที่พลังไฟในตัวเองช่างเยอะมากมาย  อยากให้ทุกคนได้ดูครับ เผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจกับทั้งน้องๆ  และคนทำงานหรือกำลังสับสนว่าจะทำหรือไม่ทำดี !!!!!  ชีวิต มันต้อง ซักซี๊ด หนึ่ง



Monday, July 11, 2011

ขนมปังชิ้นที่สาม วิธีเลี้ยงลูกของ ตัน ภาสกรนที


วันนี้ก่อนการเริ่มภาระกิจช่วงเช้า บังเอิญสุดที่รักเปิดบทความของคุณตันมาอ่านให้ฟังได้ยินคร่าวๆจับใจความอะไรได้ไม่มาก แต่โชคดีที่เขาไม่ปิดหน้านี้ลงเลยได้อ่านด้วยตัวเองอีกรอบ รู้สึกว่าชอบ และน่าจะเป็นข้อคิดดีๆให้กับตัวเอง เลยขอเอามาฝากให้เพื่อนๆอ่านกันครับลองอ่านกันดู แล้วลองคิดตามนะครับว่ามันเป็นจริงหรือเปล่า 


ขนมปังชิ้นที่สาม

 มีลูก 3 คน มีบ้าน 2 หลัง จะแบ่งยังไงดีครับ?
 เพื่อนผมคนหนึ่งคิดยังไงก็คิดไม่ตก เกษียณอายุราชการแล้วยังต้องทำงานงกๆ “สู้เพื่อลูก”ผ่อนบ้านหลังที่ 3 กลัวแบ่งสมบัติไม่ลงตัว เดี๋ยวจะนอนตายตาไม่หลับ ผมบอกถ้าไม่อยากวุ่นวาย..ง่ายนิดเดียว แค่ขายบ้านให้หมด แล้วใช้เงินให้มีความสุขกับชีวิตหลังเกษียณ เหลือเท่าไหร่ก็เท่านั้น..

Tuesday, June 7, 2011

Steve Job "ความสำเร็จคือจุดบนเส้นชีวิตที่เราจะลากเส้นไปสัมผัสมัน"

 "ความสำเร็จคือจุดบนเส้นชีวิตที่เราจะลากเส้นไปสัมผัสมัน"
ลากเส้นต่อจุดเชื่อมอนาคต
จ๊อบ ไม่ได้ร่ำเรียนมาสูงจนจบมหาวิทยาลัยเขายอมลาออกจากมหาวิทยาลัยมาทำในสิ่งที่ เขารักและในช่วงที่อยู่ที่มหาวิทยาลัย จ๊อบ ไม่เคยเห็นคุณค่าของวิชาที่เขาเรียนเลยซึ่งในตอนนั้นเขาเรียนวิชาออกแบบตัว อักษร ซึ่งมาได้ประโยชน์จริงๆก็ตอนที่ Apple ได้เริ่มผลิต Mac ออกมาและมีตัวอักษรแบบแปลกๆสวยๆงามๆ ดังนั้น จ๊อบคิดเสมอว่า ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชิวิตมันมีจุดเชื่อมต่อ  มันจะต่อกันเอง เพียงแต่ขอให้เรามีความเชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำ มันเหมือนกับการลากเส้นจุดเชื่อมต่อ เราไม่สามารถลากจุดไปยังอนาคตได้ แต่หากเราลองมองย้อนกลับไปในอดีตจะเห็นว่าสิ่งที่ผ่านๆมามันประติดประต่อกัน มาเป็นเรื่องเป็นราวโดยอัตโนมัติ ดังนั้นจงเชื่อมั่นในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ มันจะลากเส้นต่อเข้าหากันเองในอนาคต

ล้มเหลวจงอย่าท้อ เชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ


จ๊อบ ผ่านเรื่องทั้งสมหวังและผิดหวังมาในอดีตมากมาย เขาเคยถูกไล่ออกจากบริษัท Apple ซึ่งเป็นบริษัทที่เขาสร้างขึ้นมาเอง กรรมการบริษัทรวมหัวกับนักบริหารที่เขาจ้างมาไล่เขาออก ทำให้ จ๊อบ เริ่มรู้จักกับความสูญเสียครั้งแรกในตอนอายุเพียง 30 ปี เขากลับมานั่งคิดและเสียใจกับสิ่งที่เขารักและสร้างมากับมือแต่ถูกทำลายไป ชั่วพริบตา  จ๊อบ นั่งอยู่เฉยๆอยู่หลายเดือนไม่รู้จะทำอะไรต่อในชิวิต แต่การที่จ๊อบสูญเสีย Apple ไปกลับพลิกชิวิตเขาให้ได้รู้จักกับความรัก และการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง มันเหมือนกับว่าเขากลับกลายเป็นมือใหม่อีกครั้ง โดยการเริ่มสร้างบริษัท Next และ Pixar บริษัทการ์ตูน อนิเมชั่น ชื่อดังซึ่งในตอนหลังได้ขายทำเงินให้กับเขาเป็นจำนวนมาก และในที่สุด Next ก็ถูกบริษัท Apple ซื้อเขาจึงกลับมาทำงานกับ Apple อีกครั้ง

จ๊อบ บอกว่าความล้มเหลวคือยาขมที่คนไข้ยังไงก็ต้องทานแต่มันจะช่วยให้เราแข็ง แกร่งเพียงแต่จงเชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำ และทำในสิ่งที่เรารักจงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ สิ่งที่ทำให้เขากลับลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งก็คือ ความรักในสิ่งที่เขาทำ ดังนั้น จ๊อบ บอกว่าเราควรหาสิ่งที่เรารักให้เจอและจงทำมัน แต่หากเรายังหาสิ่งที่รักไม่เจอจงอย่าหยุดที่จะหามันและเราจะรู้ได้เองเมื่อ เราพบในสิ่งที่เรารักจริงๆ

ความแตกต่างมักนำสู่ความสำเร็จเสมอ

ยุค ที่ Apple กำลังใกล้จะดับเมื่อหลายปีก่อน จ๊อบ ยกหูโทรศัพท์หานักดีไซด์เนอร์ออกแบบผลิตภัณฑ์ชื่อดังซึ่งในตอนนี้ก็คือคู่หู คู่คิดเขา เขาโทรไปแล้วบอกว่าเขาต้องการดีไซด์เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เน้นเรื่องรูปทรง ที่มีเอกลักษณ์สวยงามและแตกต่าง เมื่อวางหูเสร็จหลายๆคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอย่าไปทำงานให้ จ๊อบเลยมันเสียเวลาเปล่าๆกับบริษัทที่กำลังจะเจ๊ง แต่แล้วการเดินหน้ายังคงมีต่อไปครับ และในที่สุดหากจำกันได้ Apple ได้พลิกวงการเครื่องคอมพิวเตอร์อีกครั้งกับเครื่อง iMAC เครื่องใสๆสีลูกกวาด พร้อมอุปกรณ์เสริมต่างๆที่เข้าชุดกันและในที่สุด iMac ก็ทำให้ จ๊อบกลับมายืนได้อีกครั้งและ ตามมาด้วย iPod เครื่องเล่นเพลงที่เขย่าวงการทั่วโลก หลายๆคนในตอนแรกไม่เชื่อในสิ่งที่จ๊อบ ทำเขาหาว่าจ๊อบกำลังบ้า แต่แล้วความบ้าของจ๊อบก็ทำให้โลกตะลึงกับยอดขาย iPod นับล้านเครื่อง ซึ่งคู่แข่งหลายๆบริษัท ไม่สามารถจะเลียนแบบได้ เพราะอะไรหรือครับ ? เพราะ iPod มันมี iTune ไงหละครับ ทำให้การซื้อขายเพลง online ทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น




มีอีกมีอีก
"Your time is limited, so don't waste it living someone's life. Don't be trapped by dogma-which is living with the results of other people's thinking. Don't let the noise of others's opinions drown out your own inner voice. And intuition. They somehow already know what you truly want to become. Everything else is secondary."

"เวลาของคุณมีจำกัด ฉะนั้น อย่าได้ยอมเสียเวลาไปกับการใช้ชีวิตอยู่ในชีวิตของคนอื่น จงอย่ามีชีวิตอยู่ด้วยผลของความคิดของคนอื่น และอย่ายอมให้เสียงของคนอื่นๆ มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และที่สำคัญที่สุดคือ คุณจะต้องมีความกล้าที่จะก้าวไปตามหัวใจปรารถนาและสัญชาติญาณของคุณจะพาไป เพราะหัวใจและสัญชาติญาณของคุณรู้ดีว่า คุณต้องการอะไร"
ประโยคปิดท้ายสุนทรพจน์อันลือลั่นของ Steve Jobs ในวันมอบปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
Steve Job
ชายหนุ่มที่มีผู้ให้กำเนิดเป็นหญิงสาววัยกำลังเรียน ไม่พร้อมจะมีบุตร และไม่ต้องการจะเลี้ยงดูเขาในขณะนั้น
ชายหนุ่มผู้ที่มีพ่อแม่บุญธรรมเป็นเพียงชนชั้นแรงงาน
ชายหนุ่มผู้ที่ลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน เมื่อเรียนไปได้เพียงหกเดือนเพียงเพราะเขาหาคำตอบให้กับตัวเองได้ว่า มหาวิทยาลัยไม่สามารถช่วยให้เขาค้นพบคำตอบที่ว่า "เขาต้องการจะทำอะไรในชีวิต" ได้
ชายหนุ่มผู้ที่เคยไม่มีแม้กระทั่งที่ซุกหัวนอนต้องคอยเก็บกระป๋องโค้กที่ทิ้งแล้วไปแลกกับเงินมัดจำเพียงขวดละ 5 เซนต์ เพื่อนำเงินนั้นไปซื้ออาหาร
ชายหนุ่มที่ต้องออกเดินทางด้วยเท้าเป็นระยะ 7 ไมล์ทุกคืนวันอาทิตย์ เพื่อไปกินอาหารดีดีประทังชีวิตที่วัดHare Krishna
ชายหนุ่มผู้ที่ลาออกจากมหาวิทยาลัยคนนี้ รักษาสภาพการเรียนของเขาด้วยการเข้าเรียนวิชาใดก็ได้ที่สนใจ เป็นเวลา 18 เดือน
ชายหนุ่มคนนี้เลือกเรียนวิชา ศิลปะการประดิษฐ์และออกแบบตัวอักษร (Calligraphy) สาเหตุที่เขาเลือกเรียนวิชานี้ก็เพราะว่า หัวใจและสัญชาติญาณของเขานำพาไป โดยที่เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะนำไปใช้อะไรได้ในอนาคต
แต่เพียง 10 ปีหลังจากนั้น เขาคือผู้คิดค้นเครื่องคอมพิวเตอร์ Macintosh เครื่องแรกของโลก และเริ่มต้นบริษัท Apple ขึ้นครั้งแรกในโรงรถเมื่อมีอายุได้เพียง 20 ปี ส่งผลให้มีผลกำไรที่ได้มูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์และมีพนักงานกว่า 4,000 คน ในเวลาต่อมา
แต่เรื่องราวของเขายังไม่ได้จบแต่เพียงเท่านี้
เพราะเขาถูกไล่ออกจากบริษัทที่เขาก่อตั้งมาเองกับมือ หลังจากเขาทะเลาะจนถึงขั้นแตกหักกับนักบริหารมืออาชีพที่เขาจ้างมาเองด้วยตัวเอง และกรรมการบริหารทั้งหมดเลือกที่จะเข้าข้างผู้บริหารคนนั้น !
นั่นคือความสูญเสียครั้งใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตของเขา เขาจมอยู่กับความเศร้าถึง 5 ปีเต็ม และมีความคิดที่จะหันหลังวงการคอมพิวเตอร์ชั่วชีวิต แต่ในเมื่อตัวจริงก็คือตัวจริงวันยังค่ำ
เขาเลือกที่จะลุกขึ้นสู้และเดินหน้าต่อไปโดยมีความผิดหวังในอดีตเป็นแรงส่ง เขาเริ่มต้นก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Next และ Pixar
ถูกต้องค่ะ ภาพยนตร์เรื่อง Toy Story บรรลือโลกนั่นแหละคือผลงานของเขา ส่งผลให้ Apple กลับมาซื้อหุ้นของบริษัท Next ทำให้เขาได้กลับหวนคืนสู่บริษัทแรกของตัวเองอีกครั้ง และเทคโนโลยีต่างๆ จาก Next ที่เขาคิดค้นขึ้นมาได้กลายเป็นกลไลสำคัญที่ทำให้ Apple ขายดีขึ้นมาอีกครั้ง เขาเรียกยุคนั้นว่า ยุคฟื้นฟู Apple
เขามีข้อคิดดีดีที่ชวนให้คิดว่าจากเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมานั่นคือ
"ความล้มเหลวคือยาขม แต่มันจำเป็นสำหรับคนไข้"
"เมื่อชีวิตเล่นตลกกับคุณ จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณรัก"
"คุณต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ (You'v got to fine what you love)"
เรื่องราวชีวิตของชายหนุ่มคนนี้ยังไม่ได้จบอยู่เพียงเท่านี้
เมื่อเขามีอายุ 34 ปีแพทย์พบว่าเขาเป็นโรคมะเร็งในตับอ่อนชนิดที่รักษาไม่ได้ ทำให้เขาหวนคิดไปถึงข้อความหนึ่งที่ได้อ่านมาตอนอายุ 17 ปีและจดจำมาตลอดชีวิตว่า "วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต" เขาจึงเฝ้าถามตัวเองในกระจกตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาว่า "ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต เขาจะยังคงต้องการทำสิ่งที่เขากำลังจะทำในวันนี้หรือไม่" และเมื่อคำตอบที่ได้คือ "ไม่" ติดกันหลายวัน เขาจึงรู้ตัวเองแล้วว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลง
ในขณะที่เขากำลังจะเตรียมตัวตายอย่างช้าๆ คณะแพทย์ได้ค้นพบวิธีรักษามะเร็งตับอ่อนชนิดที่พบได้ยากอย่างเขา ด้วยวิธีผ่าตัด และเขาได้เข้าการรักษาและหายขาดในเวลาต่อมา
นั่นเป็นอีกครั้งในชีวิตที่เขาเฉียดเข้าไปใกล้ความตาย
และมีข้อคิดดีดีแก่ผู้อื่นอีกหนึ่งข้อนั่นคือ
"ความตายคือประดิษฐกรรมที่ดีที่สุดของชีวิต ความตายคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิต ความตายกวาดล้างสิ่งเก่าๆ ให้หมดไปเพื่อเปิดทางใหม่แก่สิ่งใหม่ๆ ในชีวิต"
และทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นที่มาของประโยคปิดท้ายในสุนทรพจน์อันลือนั่นของเขาในประโยคข้างต้นนั่นเอง ชายหนุ่มผู้ไม่เคยทรยศต่อหัวใจและสัญาณของตัวเอง


Thursday, May 19, 2011

คนรวย รวยอะไร ........... รวยทำไม ไม่สุข

ตื่นมาวันนี้บอกตรงๆ ง่วงมาก ช่วนงานในครัวเสร็จกะว่าจะมาแอบหลับสักหน่อย เดินมาที่ร้านเปิดคอมอ่านข่าวหน่อย เซริจเพลงฟังก่อนนอน (กลางวัน) ให้ฉ่ำใจบังเอิญจริงเจอเข้ากับเพลงของบลูโน่ มาร์ช เสียก่อนฟังแล้วดูแล้ว คิดถึงสมัยวัยรุ่น รวมถึงเด็กๆ และตัวเอง อยากให้ได้ดูได้ฟังบ้างเพราะดูท่าการเรียนสมัยนี้พูดถึงแต่ความรวยเงินทอง  แต่ลืม สิ่งที่สำคัญยิ่ง อย่างน้ำใจมีใครลืมน้ำใจไปมั่งไหมไม่ต้องรวยมากแต่อย่าให้แห้งเหือดหาย  ว่าแล้วเชิญชวนน้องๆ มาฟังเพลงดูมิวสิค เพลงนี้กันครับ

ไปดูกันเลย

Wednesday, March 16, 2011

แจ้งเตือนการแฮ๊กของใน BoomZ โดยหลอกเป็นGM

ขอย้ายบทความนี้เข้าไปที่ บล๊อคของ Boomz thai's fan  นะครับตามไปอ่านในลิงค์ด้านล่างเลยครับ
http://2boomz.blogspot.com/2011/05/boomz-gm.html

Thursday, February 24, 2011

แม่ครัวหัวใจอารี

เหตุการณ์วันนั้นมันทำให้ป้าเห็นภาพอะไรชัดเจนมากขึ้น กับนักศึกษาที่มีฐานะยากจน แต่ต้องเดินทางมาเรียนในกรุงเทพฯ ต้องใช้ชีวิตในเมืองหลวง เจอกับปัญหาค่าใช้จ่ายมากมาย เวลาไม่มีเงิน แล้วหิวจะทนได้ไหม แล้วจะทำอย่างไร ป้าเริ่มคิด แล้วคิดว่า เราขายข้าว เรามีกำลัง เด็กคนไหนไม่มีเงินซื้อข้าวเดินเข้ามาหาป้าได้เลย ป้าทำให้กิน ป้าแค่อยากจะช่วยให้เขาสบายท้องเวลาเรียนจะได้ไม่ต้องกลุ้มใจ แขวนท้องไส้จะขาด ป้าเล็ก บอก 

ที่คนมักพูดกันว่า "น้ำใจไม่เคยจางหายไปจากสังคมไทย" ดูท่าจะเป็นเรื่องจริงอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเรื่องราวของ "ป้าเล็ก" แห่งคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่จะนำเสนอต่อไปนี้ ก็ยิ่งตอกย้ำคำ ๆ นี้ให้หนักแน่นมากยิ่งขึ้น 



เชื่อเลยว่า ไม่มีคณาอาจารย์ หรือนักศึกษาคนไหนในคณะวนศาสตร์ ไม่รู้จัก "ป้าเล็ก" ศรีสะอาด หนูใจคง ผู้ประกอบอาชีพขายกับข้าว อยู่ในรั้วนนทรีมานานกว่า 40 ปีแล้ว แต่ระยะเวลาที่ยาวนานเกือบครึ่งศตวรรษ ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ทุกคน รู้จักป้าเล็ก เพราะเหตุผลจริง ๆ ที่ป้าเล็ก เป็นที่กล่าวขานไปทั่ว ในหมู่นักศึกษาก็คือ ความมีน้ำจิตน้ำใจของเธอเอง ในฐานะ "แม่ครัวหัวใจอารี"

Wednesday, February 23, 2011

เดินวันละ 10,000 ก้าว เผาผลาญพลังงาน 500 แคลอรี่


ผลการวิจัยพบว่าการเดิน 10,000 ก้าวใน 1 วัน สามารถช่วยเผาผลาญพลังงานได้ถึง 400 - 500 กิโลแคลอรี่ ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจ ลดการสะสมของไขมัน ทั้งยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ กระดูก รวมทั้งข้อต่อต่างๆ ให้แข็งแรงและเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น

โดยปกติคนเราจะเดินเฉลี่ยวันละ 900 - 5,000 ก้าวต่อวันเท่านั้น ทั้งๆ ที่การเดินที่จะส่งผลดีต่อร่างกายนั้นควรอยู่ที่ 10,000 ก้าวต่อคนต่อวัน ทั้งนี้ร่างกายจะเผาผลาญพลังงานมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว ความเร็วที่เดิน การแกว่งแขน การก้าวเท้า ซึ่งผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากจะเผาผลาญพลังงานจากการเดินได้มากกว่าผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อย
เคล็ดลับสำหรับผู้ที่ตั้งใจที่จะเริ่มเดินให้ได้ครบ 10,000 ก้าว ควรเริ่มเดินแบบสะสม และค่อยๆ เพิ่มจำนวนก้าวเดินขึ้นเรื่อยๆ จนครบ 10,000 ก้าวต่อวันในที่สุด ทั้งนี้เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับตัวได้ ไม่หักโหมจนเกินไป โดยอาจใช้เครื่องนับก้าวเดินเป็นผู้ช่วยในการจำ

นอกจากนี้ความถี่ในการเดิน ยังให้ผลลัพท์ที่ต่างกัน ดังนี้
• การเดินเพื่อควบคุมน้ำหนักให้คงที่ ควรเดินเฉลี่ยวันละประมาณ 45 นาที สัปดาห์ละ 3-4 วัน 
• การเดินเพื่อลดน้ำหนัก ควรเดินทุกวัน โดยการเดินสะสมครั้งละ 15 นาที วันละ 3 ครั้ง 
• การเดินเพื่อฟิตกล้ามเนื้อ หรือสร้างความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ ควรเดินเร็วๆ สะสมให้ได้วันละ 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน
จากทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าการออกกำลังกายโดยวิธีการเดินนั้นมีประโยชน์มากมาย ขึ้นอยู่กับว่าในหนึ่งวันเราสามารถเดินในระยะทางมากน้อยเพียงใด หากคุณมีความตั้งใจที่จะใช้วิธีการเดินเพื่อสร้างสุขภาพที่ดีให้กับร่างกายแล้วล่ะก็ผลิตภัณฑ์เครื่องนับก้าวเดิน TANITA รุ่น FB-731 จะเป็นหนึ่งผู้ช่วยในการนับก้าวเดินของคุณในหนึ่งวันได้อย่างดีทีเดียว